ขัตติยพันธกรณี


ขัตติยพันธกรณี

พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
พระนิพนธ์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

ที่มา

          นับตั้งแต่ยุคการล่าอาณานิคมหรือลัทธิจักรวรรดินิยมได้เริ่มถือกำเนิดขึ้น  ไม่ว่าจะประเทศไหนหรือพื้นที่ใด ๆ บนโลกใบนี้ก็ล้วนตกอยู่ในเงื้อมมือของประเทศมหาอำนาจ  ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย  ในช่วงยุคสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น การคุกคามของฝรั่งเศสและอังกฤษได้แผ่ขยายเข้ามายังประเทศไทยและแข่งขันกัน แสวงหาผลประโยชน์จากประเทศไทยต่าง ๆ นานา จนสุดท้ายก็เกิดเหตุการณ์ที่เกือบทำให้ประเทศไทยต้องเกือบเสียเอกราชไป
 
          เหตุการณ์ครั้งนี้เรียกว่า เหตุการณ์วิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ซึ่งจุดเริ่มต้นนั้นเกิดจากความขัดแย้งระหว่างไทยกับฝรั่งเศสเรื่องเขตแดนทางด้านหลวงพระบางและมีการกระทบกระทั่งกันของกำลังทหารทั้งสองฝ่ายและต่อมาได้ ขยายวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ ปัญหาที่ไม่รู้จบครั้งนี้ได้ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยจนกระทั่งวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๑๒ กองเรือรบของ ฝรั่งเศสได้รุกล้ำเข้ามายังปากแม่น้ำเจ้าพระยาและเกิดการปะทะกันที่บริเวณป้อมพระจุลจอมเกล้าและป้อมผีเสื้อสมุทร จนสุดท้ายแล้วเรือรบฝรั่งเศส ๒ลำได้ล่องมาทอดสมอหน้าสถานฑูตฝรั่งเศสได้สำเร็จพร้อมกับยื่นข้อเรียกร้อง หลายประการ เช่น การเรียกร้องสิทธิเหนือดินแดนและการเรียกค่าปรับจากรัฐบาล พอเมื่อรัฐบาลตอบล่าช้า เรือรบ ฝรั่งเศสก็ได้ทำแล่นมาปิดอ่าวไทยประกอบกับการที่ประเทศอังกฤษไม่ให้การสนับสนุน จึงทำให้ไทยต้องยอมลงนามใน สนธิสัญญากรุงเทพในวันที่ ๓ ตุลาคม ร.ศ. ๑๑๒ ซึ่งทำให้นั้นต้องเสียสิทธิเหนือดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงและอำนาจการปกครองชาวอินโดจีนให้แก่ฝรั่งเศส  รวมทั้งจังหวัดจันทบุรีที่ถูกฝรั่งเศสยึดไว้เป็นตัวประกัน 
          นอกจากนั้นยังมีการเตรียม แผนการที่จะยึดยึดครองดินแดนอื่นๆอีกของไทยอีกด้วย จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงงานอย่างหนักเพื่อแสวงหาวิธีต่างๆ มากมาหยุดยั้งอำนาจของฝรั่งเศสและรักษาเอกราชของไทยไว้ สุดท้ายแล้วนั้นพระองค์ก็ทรงสามารถนำพาประเทศ ชาติให้หลุดพ้นจากวิกฤตการณ์อันยิ่งใหญ่มาได้แม้ว่าจะต้องแลกด้วยดินแดนบางส่วนก็ตาม 
          เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ในช่วง ร.ศ.๑๑๒ นั้นถือว่าเป็นเหตุการณ์ครั้งใหญ่ หากถ้าไม่ได้พระปรีชาความสามารถของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประเทศไทยก็อาจจะตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสได้ แต่ทว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ส่งผลให้อาการ ประชวรของพระองค์ทรุดหนักลงมากกว่าเดิมเนื่องจากเป็นโรคพระหทัยมาก่อนแล้วประกอบกับทรงเกิดความทุกข์ โทมนัสและตรอมพระทัย นั่นทำให้พระองค์ทรงหมดกำลังพระทัยที่จะดำรงพระชนม์ชีพต่อไป จึงหยุดเสวยพระโอสถ และได้ทรงพระราชนิพนธ์บทโคลงและฉันท์ขึ้นบทหนึ่งเพื่อทรงลาเจ้านายพี่น้องของพระองค์ เช่น พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวีและพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ (พระยศในขณะนั้น) และทั้งสองนั้นก็ ทรงพระนิพนธ์ถวายบทตอบ

(ซ้าย) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
(ขวา) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

เนื้อเรื่องย่อ

          บทพระราชนิพนธ์และบทนิพนธ์นี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเขียนตอบ เริ่มจากบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่เป็นเรื่องราวของพระองค์ ณ เวลานั้น การเข้ามาของฝรั่งเศสได้สร้างความกังวลพระหฤทัยเป็นอย่างมาก ประกอบกับอาการประชวรจึงทำให้บทพระราชนิพนธ์นี้เปรียบเสมือนการบรรยายความทุกข์ ความสิ้นหวังและความกังวลของพระองค์ หลังจากจบบทพระราช-นิพนธ์ก็ต่อด้วยบทพระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งมีรูปแบบลักษณะของการถวายกำลังพระทัย ซึ่งอยู่ในส่วนแรก ถัดมาเป็นการให้ข้อคิดโดยการใช้อุปมา ต่อจากการให้ข้อคิด สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงอาสาจะถวายชีวิตรับใช้และต่อสู้กับปัญหาที่เผชิญ สุดท้ายพระนิพนธ์จบลงด้วยการถวายพระพรและคำยืนยันถึงความจงรักภักดีที่ประชาชนไทยมีต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

     บทเจรจา

          ในส่วนแรกเป็นการบรรยายของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า พระองค์ท่านมีความกังวล พระหฤทัยในอาการประชวรดังบทกลอนที่ว่า  

                                            “ เป็นเป็นฝีสามยอดแล้ว          ยังราย       ส่านอ 
                                          ปวดเจ็บใครจักหมาย                  เชื่อได้ 
                                          ใช่เป็นแต่ส่วนกาย                      เศียรกลัด  กลุ้มแฮ  
                                          ใคร่ต่อเป็นจึ่งผู้                           นั่นนั้นเห็นจริง ”  

          จากนั้นเป็นการเล่าถึงภาระหน้าที่ที่เหมือนตะปูตอกยึดให้พระองค์ต้องปกป้องบ้านเมืองเอาไว้ในฉากนี้ทรงใช้ ภาพพจน์ประเภทอุปลักษณ์ดังในคำประพันธ์ 

                                                “ ตะปูดอกใหญ่ตรึง                   บาทา     อยู่เฮย 
                                            จึงบ่อาจ                                        คล่องได้  
                                            เชิญผู้ที่เมตตา                              แก่สัตว์ปวงแฮ  
                                            ชักตะปูนี้ให้                                   ส่งข้าอันขยม ” 

          ในส่วนที่สองของบทพระนิพนธ์นั้นบทเจรจานั้น จะเริ่มต้นด้วยการกังวลพระทัยในอาการประชวรของพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวดังในคำกลอนที่ว่า  

                                              “ อันพระประชวรครั้ง           นี้แท้ทั้งไผทสยาม      
                                           เหล่าข้าพระบาทความ           วิตกพ้นจะอุปมา ” 

          นอกจากนั้นบทถวายข้อคิดถือนับว่าเป็นส่วนสำคัญในบทพระนิพนธ์เพราะเป็นการให้ข้อคิดที่ลึกซึ้ง เนื้อความว่าไม่ว่าจะกระทำสิ่งใดก็มักจะพบพานอุปสรรคเสมอ แต่ขอเพียงแต่ไม่ย่อท้อและลุกขึ้นสู้ปัญหานั้นก็จะมลายหายไป แต่ถ้าเกิดไม่คิดจะลุกสู้ก็นับว่าขี้ขลาด 

                                             “ ธรรมดามหาสมุทร           มีคราวหยุดพายุผัน                     
                                         มีคราวสลาตัน                        ตั้งระลอกกระฉอกฉาน                       
                                         ผิวพอกำลังเรือ                      ก็แล่นรอดไม่ร้าวราน            
                                         หากกรรมจะบันดาล               ก็คงล่มทุกลำไป                   
                                         ชาวเรือก็ยาอมรู้                     ฉะนี้อยู่ทุกจิตต์ใจ                     
                                         แต่ลอยอยู่ตราบใด                ต้องจำแก้ด้วยแรงระดม                
                                         แก้รอดตลอดฝั่ง                    จะรอดทั้งจะชื่นชม                 
                                         เหลือแก้ก็จำจม                     ให้ปรากฏว่าถึงกรรม             
                                         ผิวทอดธุระนิ่ง                        บ  วุ่นวิ่งเยียวยาทำ          
                                         ที่สุดก็สูญลำ                          เหมือนที่แก้ไม่หวาดไหว             
                                         ผิดกันแต่ถ้าแก้                      ให้เต็มแย่จึงจมไป                   
                                         ใครห่อนประมาทใจ               ว่าขลาดเขลาและเมาเมิน ”


อ้างอิง  http://tharinsaelow.weebly.com/uploads/4/5/9/8/45985331/%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B5.pdf

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม